ภรรยาของเพื่อนฉันเป็นช่างเย็บผ้าฝีมือดี เธอวางแผนไว้ด้วยความรักก่อนที่จะเสียชีวิตจากอาการป่วยเรื้อรัง เธอบริจาคอุปกรณ์ตัดเย็บทั้งหมดให้กับสมาคมช่างเย็บผ้าของเมืองเรา ทำให้มีจักรเย็บผ้า โต๊ะตัดผ้า และอื่นๆ สำหรับการสอนผู้อพยพที่เพิ่งมาอยู่ใหม่ “ผมนับเฉพาะกล่องผ้าได้ 28 กล่อง” สามีของเธอบอกเรา “มีผู้หญิงหกคนมารับเอาของทั้งหมดไป นักเรียนของพวกเธอเป็นคนขยันขันแข็งและกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้”
คนอื่นๆจะพูดถึงคนที่มาอยู่ใหม่ในทางที่ไม่ค่อยดีนัก ความทุกข์ยากของผู้อพยพกลายเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความแตกแยก
อย่างไรก็ตาม โมเสสได้เปิดเผยมุมมองของพระเจ้าว่า “อย่าข่มเหงคนต่างด้าว ตัวเจ้าเองรับรู้รสชาติการเป็นคนต่างด้าวมาแล้ว” (อพย.23:9TNCV) นอกจากนี้ ท่านยังกล่าวถึงกฎของพระเจ้าที่เกี่ยวกับคนต่างด้าวอีกว่า “เมื่อเจ้าทั้งหลายเกี่ยวข้าวในนา...อย่าเก็บผลที่สวนองุ่นให้หมด เจ้าอย่าเก็บองุ่นที่ตกในสวนของเจ้า จงเหลือไว้ให้คนยากจนและคนต่างด้าวบ้าง เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า” (ลนต.19:9-10)
นอกจากนี้พระเจ้ายังทรงประกาศด้วยว่า “เมื่อคนต่างด้าวอาศัยอยู่กับเจ้าในแผ่นดินของเจ้า อย่าข่มเหงเขา คนต่างด้าวที่อาศัยอยู่กับเจ้านั้นก็เหมือนกับชาวเมืองของเจ้า เจ้าจงรักเขาเหมือนกับรักตัวเอง เพราะว่าเจ้าเคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์ เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า” (ข้อ 33-34)
พระเจ้าทรงวางมาตรฐานเอาไว้ ขอพระองค์ทรงอวยพรจิตใจของเราให้แสดงความรักต่อคนต่างด้าวที่อยู่ท่ามกลางเรา
การใช้สารเสพติดเป็นเวลาถึงสิบปีทำให้เม็กกี้ต้องเข้าๆออกๆเรือนจำ ถ้าชีวิตของเธอไม่เปลี่ยน อีกไม่ช้าเธอก็จะต้องกลับเข้าคุกอีก แล้วเธอก็ได้พบกับฮันส์ อดีตคนติดยาที่เกือบจะเสียมือของเขาไปจากอาการเส้นเลือดแตกเนื่องจากติดสารเสพติด “นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเรียกหาพระเจ้า” ฮันส์กล่าว คำตอบของพระเจ้าทำให้เขาได้มาเป็นผู้ช่วยการบำบัดในองค์กรที่ประสานงานด้านการฟื้นฟูสำหรับผู้ติดยาที่ถูกคุมขัง
โครงการนี้ชื่อว่า ซุปก้อนหิน คอยช่วยเหลือเรือนจำในอเมริกาโดยช่วยสนับสนุนอดีตผู้ต้องขังให้กลับคืนสู่ชุมชนได้ โครงการนี้ทำให้เม็กกี้ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในสถานเตรียมความพร้อมก่อนกลับสู่สังคมและเลิกยาได้ ปัจจุบันฮันส์ช่วยประสานงานให้เธอและคนอื่นๆ ในการหางานทำ ในด้านการศึกษา การบำบัด และจัดหาทรัพยากรต่างๆสำหรับครอบครัว
พระคัมภีร์อธิบายถึงข้อดีของการมีพันธมิตรอย่างฉลาด “สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่าเขาทั้งสองได้รับผลของงานดี ด้วยว่าถ้าคนหนึ่งล้มลง อีกคนหนึ่งจะได้พะยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น” (ปญจ.4:9-10) อย่างไรก็ตาม “แต่วิบัติแก่คนนั้นที่อยู่คนเดียวเมื่อเขาล้มลง และไม่มีผู้อื่นพะยุงยกเขาให้ลุกขึ้น” (ข้อ 10)
ในนิทานพื้นบ้านเรื่อง “ซุปก้อนหิน” นักเดินทางผู้หิวโหยได้ชักชวนชาวเมืองแต่ละคนให้แบ่งปันส่วนผสมหนึ่งอย่างเพื่อทำซุปแสนอร่อยให้กับทุกคน ในทำนองเดียวกัน พระคัมภีร์ยืนยันว่าเราจะแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพดีกว่าเมื่ออยู่ด้วยกัน (ข้อ 12) พระเจ้าทรงมีแผนการให้เราใช้ชีวิตในชุมชนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นและรับความช่วยเหลือเป็นการตอบแทน ซึ่งไม่ใช่นิทานปรัมปรา แต่เป็นความจริงของชีวิต
ในวันซึ่งอากาศหนาวจัดในเดือนพฤศจิกายน คริสตจักรของเราหวังว่าจะจัดเตรียมกระเป๋าบรรจุสิ่งของสองร้อยใบเพื่อให้กับคนไร้บ้าน ในการเตรียมตัวเพื่อช่วยบรรจุสิ่งของเหล่านั้น ฉันคัดแยกสิ่งของที่ได้รับบริจาค อธิษฐานขอถุงมือ หมวก ถุงเท้า และผ้าห่มใหม่ๆ โดยจะมีการแจกแซนด์วิชให้กับผู้ที่จะได้รับกระเป๋าของขวัญนี้ด้วย แล้วฉันก็สังเกตเห็นของชิ้นหนึ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจนั่นคือผ้าเช็ดตัว ฉันมุ่งให้ความสำคัญกับสิ่งที่ช่วยให้ผู้คนอบอุ่นและมีอาหาร แต่มีคนระลึกได้ว่าต้องช่วยให้ผู้รับของเรารู้สึกสะอาดด้วย
พระคัมภีร์พูดถึง “ความสะอาด” อีกแบบหนึ่งคือความสะอาดของจิตใจและวิญญาณ พระเยซูทรงชี้ให้เห็นเรื่องนี้ขณะที่ทรงประณามความหน้าซื่อใจคดของพวกธรรมาจารย์และฟาริสี พวกเขาถือรักษาข้อกำหนดที่เล็กน้อยที่สุดในธรรมบัญญัติแต่ “ข้อสำคัญแห่งธรรมบัญญัติคือความยุติธรรม ความเมตตา ความเชื่อนั้นได้ละเลยเสีย” (มธ.23:23) พระคริสต์ตรัสกับพวกเขาว่า “เจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มด้วยโจรกรรมและการมัวเมากิเลส...จงชำระถ้วยชามภายในเสียก่อน เพื่อข้างนอกจะได้สะอาดด้วย” (ข้อ 25-26)
การทำตัวเหมือนว่าเราไม่มีตำหนิในฝ่ายวิญญาณก็เป็นเพียงแค่การแสดงหากเราไม่แสวงหาการชำระให้สะอาดที่พบได้ในพระคริสต์ “มีอะไรล้างบาปข้าได้” คือคำถามจากบทเพลงชีวิตคริสเตียนเก่าแก่บทหนึ่ง “มีแต่พระโลหิตพระเยซู” ผ้าเช็ดตัวผืนใหม่อาจเป็นของขวัญเพื่อชำระเราภายนอกได้ แต่พระเยซูทรงชำระเราจากภายใน ทรงล้างชำระแม้กระทั่งบาปที่ร้ายกาจที่สุดของเรา
ยอห์น 19:26-27
พระเยซู... ตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า "หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด”
แล้วพระองค์ตรัสกับสาวก (ยอห์น)ว่า “จงดูมารดาของท่านเถิด”
เมื่อพ่อของฉันเสียชีวิตลงไม่นานหลังวันครบรอบแต่งงาน 40 ปีของพวกท่าน แม่ของฉันเสียใจมาก และรู้สึกกังวล ใครจะจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ จะมีเงินพอหรือไม่ ถ้าต้องซ่อมแซมบ้านจะทำอย่างไร ในไม่ช้าแม่ก็เรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องกังวลเลย เพราะพ่อของฉัน หากต้องเสียชีวิตลง ท่านได้จัดเตรียมการเงินทุกอย่างให้ไว้กับแม่ตั้งแต่หลายปีที่แล้ว ส่วนฉันและพี่สาวก็ตกลงจะช่วยแม่ในความต้องการด้านอื่นๆ
จากคำพูดประโยคสุดท้ายข้างต้นของพระเยซู การดูแลครอบครัวเช่นนี้มีความหมายพิเศษ แม้พระองค์กำลังถูกตรึงอยู่บนกางเขน แต่พระองค์ก็ยังทรงมองลงมายังมารีย์ แม่ของพระองค์ และยอห์น สาวกที่รักของพระองค์ แล้วพระองค์ทรงตรัสคำพูดที่สัมผัสใจว่า “หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด” และทรงตรัสกับยอห์นว่า “จงดูมารดาของท่านเถิด” (ยอห์น 19:26-27)
นี่คือถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความรักที่ทรงตรัสออกมาในห้วงเวลาแห่งความทุกข์ระทม ในวัฒนธรรมชาวยิว ลูกชายที่กำลังจะสิ้นใจจะฝากฝังให้พี่ชายหรือน้องชายเป็นผู้ดูแลแม่ ในกรณีของพระเยซูก็จะเป็นน้องชาย (ดูมัทธิว 13:55) เนื่องจากโยเซฟ สามีของมารีย์น่าจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่น้องชายของพระเยซูในขณะนั้นยังไม่ยอมรับว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ คือองค์พระเมสสิยาห์
พระเยซูทรงให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ของมารีย์ จึงทรงแต่งตั้งยอห์นให้เป็นผู้ดูแลมารดาของพระองค์ “ตั้งแต่เวลานั้นมาสาวกคนนั้นก็รับมารดาของพระองค์มาอยู่ในบ้านของตน” (ยอห์น 19:27) สิ่งที่พระคริสต์ทรงกระทำสะท้อนให้เห็นว่า ผู้เชื่อทุกคนเป็นสมาชิกในครอบครัวใหม่ของพระเจ้า พระองค์ทรงสถาปนาสายสัมพันธ์แห่งการดูแลกันและกันเอาไว้ที่เชิงไม้กางเขน
แพทริเชีย เรย์บอน
ใคร่ครวญ : คุณดูแลคนอื่นอย่างไร การมองว่าผู้เชื่อเป็นครอบครัวของคุณ…
ยอห์น 19:26-27
พระเยซู... ตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า "หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด”
แล้วพระองค์ตรัสกับสาวก (ยอห์น)ว่า “จงดูมารดาของท่านเถิด”
เมื่อพ่อของฉันเสียชีวิตลงไม่นานหลังวันครบรอบแต่งงาน 40 ปีของพวกท่าน แม่ของฉันเสียใจมาก และรู้สึกกังวล ใครจะจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ จะมีเงินพอหรือไม่ ถ้าต้องซ่อมแซมบ้านจะทำอย่างไร ในไม่ช้าแม่ก็เรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องกังวลเลย เพราะพ่อของฉัน หากต้องเสียชีวิตลง ท่านได้จัดเตรียมการเงินทุกอย่างให้ไว้กับแม่ตั้งแต่หลายปีที่แล้ว ส่วนฉันและพี่สาวก็ตกลงจะช่วยแม่ในความต้องการด้านอื่นๆ
จากคำพูดประโยคสุดท้ายข้างต้นของพระเยซู การดูแลครอบครัวเช่นนี้มีความหมายพิเศษ แม้พระองค์กำลังถูกตรึงอยู่บนกางเขน แต่พระองค์ก็ยังทรงมองลงมายังมารีย์ แม่ของพระองค์ และยอห์น สาวกที่รักของพระองค์ แล้วพระองค์ทรงตรัสคำพูดที่สัมผัสใจว่า “หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด” และทรงตรัสกับยอห์นว่า “จงดูมารดาของท่านเถิด” (ยอห์น 19:26-27)
นี่คือถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความรักที่ทรงตรัสออกมาในห้วงเวลาแห่งความทุกข์ระทม ในวัฒนธรรมชาวยิว ลูกชายที่กำลังจะสิ้นใจจะฝากฝังให้พี่ชายหรือน้องชายเป็นผู้ดูแลแม่ ในกรณีของพระเยซูก็จะเป็นน้องชาย (ดูมัทธิว 13:55) เนื่องจากโยเซฟ สามีของมารีย์น่าจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่น้องชายของพระเยซูในขณะนั้นยังไม่ยอมรับว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ คือองค์พระเมสสิยาห์
พระเยซูทรงให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ของมารีย์ จึงทรงแต่งตั้งยอห์นให้เป็นผู้ดูแลมารดาของพระองค์ “ตั้งแต่เวลานั้นมาสาวกคนนั้นก็รับมารดาของพระองค์มาอยู่ในบ้านของตน” (ยอห์น 19:27) สิ่งที่พระคริสต์ทรงกระทำสะท้อนให้เห็นว่า ผู้เชื่อทุกคนเป็นสมาชิกในครอบครัวใหม่ของพระเจ้า พระองค์ทรงสถาปนาสายสัมพันธ์แห่งการดูแลกันและกันเอาไว้ที่เชิงไม้กางเขน
แพทริเชีย เรย์บอน
ใคร่ครวญ : คุณดูแลคนอื่นอย่างไร การมองว่าผู้เชื่อเป็นครอบครัวของคุณ…
เด็กชายวัยแปดขวบสองคนในรัฐเมน ซึ่งเป็นรัฐชนบทของอเมริกา กลายเป็นที่จดจำด้วยการสวมชุดสูทไปโรงเรียนทุกวันพุธ ในไม่ช้า “วันพุธภูมิฐาน” ก็กลายเป็นวันยอดนิยม เพราะเพื่อนนักเรียนและเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนต่างพากันแต่งตัวด้วยเช่นกัน เจมส์ผู้ริเริ่มความคิดนี้ชอบฟังคำชม “มันทำให้ผมรู้สึกดีมาก” เสื้อผ้าประจำวันพุธทำให้พวกเขาแตกต่าง กลายเป็นนักเรียนที่มีความภาคภูมิใจในโรงเรียนของพวกเขา
เสื้อผ้าฝ่ายจิตวิญญาณซึ่งทำให้เราแตกต่างในฐานะคนของพระเจ้า ก็ทำให้ใจเราชื่นบานเช่นกัน“จิตใจของข้าพเจ้าจะลิงโลดในพระเจ้าของข้าพเจ้า” อิสยาห์กล่าว “เพราะพระองค์ได้ทรงสวมข้าพเจ้าด้วยเสื้อผ้าแห่งความรอด พระองค์ทรงคลุมข้าพเจ้าด้วยเสื้อแห่งความชอบธรรม อย่างเจ้าบ่าวประดับตัวด้วยพวงมาลัย และอย่างเจ้าสาวตกแต่งตัวด้วยเพชรนิลจินดา” (อสย.61:10)
เมื่อชนอิสราเอลถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย เสื้อผ้าของพวกเขาทั้งที่สวมใส่และเสื้อผ้าฝ่ายวิญญาณนั้น มีสภาพเก่าและขาดวิ่น อิสยาห์ได้มอบพระสัญญาแห่งความหวังแก่พวกเขา คือ พระวิญญาณของพระเจ้าจะ “ประทานมาลัยแทนขี้เถ้าให้เขา น้ำมันแห่งความยินดีแทนการไว้ทุกข์ ผ้าห่มแห่งการสรรเสริญแทนจิตใจที่ท้อถอย” (ข้อ 3)
พระสัญญาเดียวกันนี้มีสำหรับคนของพระเจ้าในปัจจุบันเช่นกัน พระเยซูตรัสว่าโดยพระวิญญาณของพระองค์เราจะ “ประกอบด้วยฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบน” (ลก.24:49) พระคริสต์ทรงประทานให้เรามีเสื้อผ้าแห่ง “ใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพใจอดทนไว้นาน” (คส.3:12) เมื่อเราสวมใส่พระองค์ เราก็จะสะท้อนความรักของพระองค์ให้โลกนี้ได้เห็น
แนนซี่กลัวอนาคตเพราะเธอมองเห็นแต่ปัญหา ทอมสามีของเธอเป็นลมไปสามครั้งขณะเดินป่าในชนบทของรัฐเมน แต่แพทย์ของโรงพยาบาลเล็กๆ ในละแวกนั้นตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ และที่ศูนย์การแพทย์ใหญ่แพทย์ได้ทำการตรวจเพิ่มเติมแต่ก็ไม่พบปัญหาเช่นกัน “ฉันกลัวมาก” แนนซี่กล่าว ขณะที่สามีของเธอได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน เธอถามหมอโรคหัวใจเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ตอนนี้เราต้องทำอย่างไร” หมอได้ให้คำแนะนำแห่งสติปัญญาที่เปลี่ยนมุมมองของเธอตลอดไป “กลับไปใช้ชีวิตของคุณ” เขากล่าว “นี่ไม่ใช่คำพูดติดตลก” แนนซี่เล่า “แต่เป็นคำแนะนำสำหรับเรา”
คำแนะนำนั้นตรงกับคำสอนของพระเยซูในคำเทศนาบนภูเขา พระองค์ตรัสว่า “อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ” (มธ.6:25) คำแนะนำนั้นไม่ได้บอกเราว่าไม่ต้องสนใจเรื่องการแพทย์ หรือปัญหาและอาการต่างๆของโรค ในทางกลับกันพระคริสต์ตรัสว่า “อย่ากระวนกระวาย” (ข้อ 25) จากนั้นทรงถามว่า “โดยความกระวนกระวาย อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ” (ข้อ 27)
ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้นำเสนอถึงสติปัญญาที่คล้ายกัน “จงกล่าวกับคนที่มีใจคร้ามกลัวว่า ‘จงแข็งแรงเถอะ อย่ากลัว ดูเถิด พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะเสด็จมา’”(อสย.35:4) สำหรับแนนซี่และทอม ตอนนี้พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจให้เดินวันละมากกว่าแปดกิโลเมตร พวกเขาไม่ได้เดินด้วยความกังวลอีกต่อไป แต่ก้าวเดินไปด้วยความชื่นชมยินดี
พวกเขาจะชนะด้วยการโต้เถียงกันหรือไม่ ไม่มีทาง ผู้นำของเมืองเล็กๆ เตือนประชาชนที่อาศัยในเขตอุทยานอดิรอนแด็ก ที่ซึ่งการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กได้จุดชนวน “สงครามอดิรอนแด็ก” ขึ้น ชื่อนี้บรรยายถึงการต่อสู้ของพวกเขาว่าจะอนุรักษ์พื้นที่ป่าดั้งเดิมทางตอนเหนือของนิวยอร์กไว้หรือจะพัฒนาพื้นที่แห่งนี้
“มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น!” ผู้นำชุมชนตะโกนใส่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่ไม่นานข้อความใหม่ก็ดังขึ้น “อย่าตะโกนใส่กัน พยายามคุยกันดีๆ” มีการทำข้อตกลงจัดตั้งพันธมิตรเพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคู่พิพาททั้งสองฝ่าย การเจรจากันของพลเมืองนำไปสู่ข้อยุติ พื้นที่ป่าเกือบ 2.53 ล้านไร่ได้รับการอนุรักษ์ ขณะที่เมืองอดิรอนแด็กเจริญขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาตลอดยี่สิบปี
การอยู่ร่วมกันอย่างสันติคือจุดเริ่มต้น แต่เปาโลสอนบางสิ่งที่ดีกว่าแก่ผู้เชื่อใหม่ในโคโลสี ท่านกล่าวว่า “จงเปลื้องทิ้งเสีย คือความโกรธ ความขัดเคือง การคิดปองร้าย การพูดให้ร้าย คำพูดหยาบโลน” (คส.3:8) เปาโลเตือนพวกเขาให้แลกเปลี่ยนวิถีเก่าของตนกับธรรมชาติใหม่ของพระคริสต์ ท่านเขียนว่า “จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน” (ข้อ 12)
วันนี้คำเชิญได้ถูกมอบแก่ผู้เชื่อทุกคน ให้ละทิ้งชีวิตเก่าที่ดื้อดึงเพื่อมีชีวิตใหม่ในพระคริสต์ “จงให้สันติสุขของพระคริสต์ครองจิตใจของท่าน พระเจ้าทรงเรียกท่านไว้ให้เป็นกายเดียวด้วย เพื่อสันติสุขนั้น” (ข้อ 15) แล้วจากนั้น ด้วยสันติสุขที่อยู่ภายในเรา โลกจะได้เห็นพระเยซู
ในงานแต่งงานของเมเรดิธ แม่ของเธออ่านพระวจนะตอนที่แสนไพเราะจากพระธรรม 1 โครินธ์ บทที่ 13 ซึ่งมักถูกเรียกว่าเป็น “บทแห่งความรัก” ของพระคัมภีร์ ข้อความฟังดูเหมาะสมอย่างที่สุดสำหรับโอกาสนี้ “ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง” (ข้อ 4) เมื่อฟังแล้วฉันนึกสงสัยว่าบ่าวสาวยุคใหม่จะรู้หรือไม่ว่าสิ่งใดทำให้อัครทูตเปาโลกล่าวถ้อยคำที่ซาบซึ้งเหล่านี้ เปาโลไม่ได้เขียนกลอนรัก ท่านเขียนคำวิงวอนต่อคริสตจักรที่แตกแยกด้วยความพยายามที่จะเยียวยาการแบ่งแยกอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้น
พูดง่ายๆก็คือคริสตจักรในเมืองโครินธ์ “ยุ่งเหยิง” นักวิชาการดักลาส เอ แคมป์เบลล์กล่าว ปัญหาร้ายแรงมีตั้งแต่การร่วมประเวณีระหว่างพี่น้อง การค้าประเวณี และการแก่งแย่งชิงดีในบรรดาผู้นำ สมาชิกฟ้องร้องเป็นความกัน การนมัสการก็มักจะวุ่นวายเพราะคนที่พูดภาษาแปลกๆ แย่งกันเพื่อให้คนอื่นได้ยินตัวเอง ส่วนคนอื่นๆเผยพระวจนะเพื่อให้ดูน่าประทับใจ (ดู 1 คร.14)
แคมป์เบลล์กล่าวว่า ภายใต้ความสับสนวุ่นวายนี้คือ “ความล้มเหลวขั้นพื้นฐานในการปฏิบัติต่อกันและกันด้วยความรัก” เปาโลต้องการแสดงให้พวกเขาเห็นสิ่งที่ประเสริฐกว่า ท่านจึงสอนเรื่องความรักเพราะ “ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสูญไป แม้การพูดภาษาแปลกๆนั้น ก็จะมีเวลาเลิกกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป” (13:8)
คำเตือนใจถึงความรักของเปาโลทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีในงานแต่งงานได้แน่นอน และขอให้ถ้อยคำเหล่านั้นผลักดันเราทุกคนที่จะใช้ชีวิตด้วยความรักและความเมตตาเช่นกัน